|
10 จาก 12 ศพ ของการสังหารหมู่ และนางพี นิ ภรรยาของนาย โค นู ทั้งหมดถูกฆ่าในเดือนเมษายน 2002 , CIDKP |
เด็กชายวิลเบอ ทู ได้รับบาดเจ็บในการสังหารหมู่ปี 2002 ปัจจุบัน เสียชีวิตแล้ว FBR |
ลูกสาว และภรรยาของหลานชายที่เสียชีวิตไปแล้ว 17 เมษายน 2008 FBR |
ซากที่ยังคงเหลือของหลานชาย นาย โน มอ วันที่ 17 เมษายน 08 FBR |
นายโค นู ผู้เป็นพ่อ ร้องไห้ให้กับลูกชาย วันที่ 17 เมษายน 2008 |
(ข้อความนี้ถูกส่งตรงมาจากทีมบรรเทาทุกข์ที่อยู่ในภาคสนาม)
ในปี 2002 กองทหารพม่าได้ตามล่ากลุ่มชาวบ้านที่อยู่ในเขตดูปลายา ภาคกลางของรัฐกะเหรี่ยง
พวกเขาตามชาวบ้านได้ทันในตอนกลางคืน และสังหารชาวบ้าน 12 คน และ 8 คนในนั้นเป็นเด็ก เราและองค์กรอื่นๆ
ได้รายงานการสังหารหมู่นี้ และได้เข้าไปให้การบรรเทาทุกข์แก่ชาวบ้านในพื้นที่แห่งนั้นช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ภายใต้การโจมตี
ในระหว่างภารกิจนั้น เราได้เอากระสุนออกจากเด็กอายุ 8 ขวบคนหนึ่ง เขาชื่อเด็กชายวิลเบอ ทู
ซึ่งรอดชีวิตจากการสังหารหมู่โดยการซ่อนตัวอยู่ใต้ศพของคุณยายของเขา
และวิ่งหนีออกมาทันทีหลังจากที่กองทหารพม่าได้จากไปแล้ว พี่สาวของเขา เด็กหญิง ธา คู ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่แขน
แต่เธอก็หนีออกมาได้กับพ่อของเธอ นาย โค นู
หกปีผ่านไป ในวันนี้ เรากลับมายังพื้นที่แห่งเดิม และคนที่นี่ก็ยังไม่ยอมแพ้ (ดังที่ได้บรรยายไว้ในรายงานฉบับก่อนหน้านี้ที่โบสถ์ถูกเผาและถูกสร้างใหม่) หัวใจของคนที่นี่ยังคงแตกสลายอยู่เช่นเดิม เมื่อสี่เดือนที่ผ่านมา ในวันคริสมาสปี 2007 กองลาดตะเวณของทหารพม่าได้ยิงนายโค นู พ่อของเด็กๆ ที่หลบหนีจากการสังหารหมู่ในปี 2002 ขณะที่เขากำลังตกปลาอยู่ใกล้ๆ สวนของเขา เขาสามารถหลบหนีได้ ลูกชายอายุ 13 ปี และหลานชายอายุ 25 ปี อยู่บนเนินเขาที่เป็นทุ่งนาเหนือเขาขึ้นไป หลังจากที่หลบกระสุน เขายังคงวิ่งต่อไปและไม่ได้ยินเสียงปืนอีก เขาคิดว่าลูกชายและหลานชายซึ่งอยู่บนที่ๆ สูงกว่าห่างออกไปประมาณ 450 เมตร ได้หลบหนีไปแล้ว แต่พวกเขาไม่ได้กลับมาบ้าน เขาจึงออกไปตามหาพวกเขา และพบร่างที่ถูกเผาในทุ่งนาของเขา เขาเห็นว่าพวกเขาไม่ได้ถูกยิง แต่ถูกจับและทรมาณจนเสียชีวิต เอ็นที่ข้อเท้าของพวกเขาถูกตัด ถูกควักเอาเครื่องในออกและถูกเชือดคอ ร่างของพวกเขาถูกเผา แต่ไหม้ไปเพียงแค่ส่วนหนึ่ง หน่วยบรรเทาทุกข์ FBR ได้ส่งเรื่องการสังหารนี้ออกมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ขณะนี้ เรามาถึงที่นี่ และต้องการจะบันทึกเรื่องราวนี้เพิ่มเติม และได้จัดพิธีรำลึกถึงผู้ที่ถูกสังหารทั้งสองให้กับพวกเขา เมื่อเราคุยกับคุณพ่อ เรารู้สึกเจ็บปวดในหัวใจที่ทราบว่าเขาได้เสียภรรยาและลูกสามคนไปในการสังหารหมู่ปี 2002 และบัดนี้ เขาเสียลูกชาย หลานชายไปอีก ส่วนลูกสาวอีกคนได้รับบาดเจ็บ เราตกใจที่ทราบว่าลูกชายของเขาคือเด็กชายวิลเบอ ทู เด็กที่รอดชีวิตจากการสังหารหมู่เมื่อปี 2002 แต่ตอนนี้เขาถูกทรมาณจนเสียชีวิต และเราได้พบกับนางมู ดา อายุ 22 ซึ่งเป็นภรรยาของหลานชายผู้เสียชีวิต เธอมีทารกอายุ 9 เดือน ซึ่งป่วยและเสียชีวิต 2 วันหลังจากที่สามีของเธอถูกฆ่าตาย ในขณะนี้ เธอต้องอยู่คนเดียวตามลำพัง
นายโค นูผู้เป็นพ่อบอกว่าจะพาเราไปแถวๆ ที่ วิลเบอ ทู และหลานชายถูกฆ่า แต่เขาไม่สามารถที่จะทนไปถึงที่นั่นได้ เราพร้อมกับทีมเล็กๆ ไปกับเขา และเมื่อเราไปใกล้กับที่เกิดเหตุ เขาเริ่มที่จะพูดถึงลูกชายของเขา เราเดินผ่านส่วนที่ทั้งสองเคยทำงาน และเขาชี้ให้เราดูสวนผลไม้ที่ลูกชายช่วยดูแล และบ้านไร่ที่เขาปลูกมันขึ้นมาด้วยกัน หลังจากที่ผ่านสวนไปแล้ว เราต้องปืนขึ้นเนินเขาที่เป็นที่เคยเป็นทุ่งนา ในทุ่งนา เราเจอซากของหลานชายของเขาที่ยังเหลืออยู่ และที่ๆ ฝังลูกชาย เมื่อเขาเห็นสิ่งเหล่านี้ เขาเริ่มที่จะสั่นและเรียกชื่อของลูกชาย ผมกอดเขาเอาไว้และเริ่มที่จะร้องไห้ ทั้งหมดที่ผมทำได้คือการอธิษฐานและปลอบใจเขา หลังจากที่เขารวบรวมจิตใจกลับมาได้ เขาเดินลงไปยังที่ฝังศพของลูกชายและเริ่มเรียกชื่อของลูก พูดกับลูก และพูดกับพระเจ้าว่า “โอ ลูก ลูกเอ๋ย พ่อพยายามอย่างดีที่สุดสำหรับลูกแล้ว พ่อเตรียมสิ่งที่ดีไว้ให้ลูกหลายอย่าง แต่ตอนนี้ลูกไม่มีโอกาสจะได้เห็นมัน ลูก ลูกเอ๋ย โอ พระเจ้า ลูกชายของผม ลูกของผมไปก่อนแล้ว และรอผมอยู่” จากนั้น เขาก็ยืนขึ้นและพูดว่า “โอ พระเจ้า โอ พระเจ้า ถ้าพระองค์ไม่ทรงช่วยผม ผมก็ไปต่อไม่ได้อีกแล้ว”
หนึ่งในสมาชิกทีมของเราได้คุยกับเขาขณะที่พวกเราที่เหลือช่วยกันฝังหลานชายใหม่และกลบส่วนที่เหลือ จากนั้นเราก็มาชุมนุมกันพร้อมกับคุณพ่อและทำพิธีไว้อาลัยให้กับคนทั้งสองที่ถูกสังหาร เราอธิษฐาน และร้องเพลงฮิมส์” บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์” และอธิษฐานตามอย่างพระเยซูด้วยกัน ตลอดเวลาทั้งหมด คุณพ่อร่วมพิธีกับเราอย่างเงียบๆ แต่เมื่อเราปิดพิธีด้วยเพลง “โปรดฟังคำอธิษฐานของเรา โอ พระเจ้า” เขาร้องเพลงไปด้วยกับเรา เราขอความยุติธรรมจากพระเจ้า และที่พระองค์จะอวยพรที่แห่งนี้ คุณพ่อหันมาหาเรา และพยักหน้าราวกับจะบอกว่า “มันเสร็จแล้ว”
เราทราบว่าความเจ็บปวดนี้จะไม่จากเขาไป ผมบอกกับเขาว่า ผมมีลูกสามคน และถ้าผมสูญเสียพวกเขาไป ผมคงจะร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดไปตลอดชีวิตของผม เรายังบอกแก่เขาด้วยว่า เราเชื่อว่าลูกชายและครอบครัวของเขาปลอดภัยอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และวันหนึ่งเราจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ในตอนนี้ เรายังอยู่บนโลกนี้ และเรามีหน้าที่ที่จะต้องทำนั่นก็คือ ทำในสิ่งที่ดีและถูกต้อง และรักกันและกัน ขณะที่พวกเราเดินลงเขาไป ผมรู้สึกว่า เขารู้สึกพอใจที่เราได้ทำในสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ร่วมกัน
เราอยากจะขอบคุณทุกๆ ท่านที่ยืนหยัดเคียงข้างประชาชนในประเทศพม่าท่ามกลางความทารุณโหดร้ายเช่นนี้ เราขอที่ท่านจะอธิษฐาน และคิดถึงสิ่งที่เราจะสามารถทำร่วมกันได้เพื่อที่จะช่วยให้ประเทศพม่าเป็นที่ๆ ดีขึ้นได้ ในเวลานี้ เราจะทำอย่างไรที่จะปลอบโยน และช่วยคนอื่นๆ ที่สูญเสียครอบเกือบหมดเหมือนเช่นชายคนนี้
ขอบพระคุณ และขอพระเจ้าทรงอวยพรท่าน
หัวหน้าทีมบรรเทาทุกข์
เขตดูปลายา รัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า
จบการรายงาน